ต้นกำเนิดและประวัติศาสตร์มวยไทย

ต้นกำเนิดและประวัติศาสตร์มวยไทย
 

มวยไทย คือหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ที่เก่าแก่ และทรงคุณค่าที่สุดของประเทศไทย เป็นทั้งมรดกทางวัฒนธรรมและกีฬา ที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่ง ความกล้าหาญ และปัญญาในการต่อสู้ของคนไทย โดยมีจุดเริ่มต้นย้อนกลับไป ไกลกว่าที่หลายคนคาดคิด ต้นกำเนิดมวยไทย สามารถสืบย้อนไปได้ถึงสมัยหริภุญชัย (ประมาณ พ.ศ. 1200) ซึ่งมีพระฤๅษีสุกกะทันตะ เป็นผู้ริเริ่มสอนวิชามัยศาสตร์ หรือวิชาการต่อสู้ที่รวมทั้งมวย ดาบ ธนู และการบังคับช้างม้าเพื่อใช้ในการป้องกันตัวและสงคราม วิชานี้เป็นรากฐานสำคัญ ที่ต่อยอดพัฒนามาเป็นมวยไทยในยุคต่อมา

ในสมัยสุโขทัย (พ.ศ. 1781 – 1951) มีหลักฐานชัดเจนว่า มวยไทย ได้รับการฝึกฝนอย่างแพร่หลายเพื่อใช้ในการรบจริง โดยทหารไทยใช้มือ เท้า เข่า และศอกในการต่อสู้ ซึ่งเรียกกันว่า นวอาวุธ รวมถึงการใช้ศีรษะและบั้นท้ายในบางรูปแบบ นอกจากนี้ยังมีการจัดแข่งขันมวยในงานเทศกาลต่างๆ เพื่อเสริมสร้างความสามัคคีและความแข็งแกร่งของชุมชน

ยุคกรุงศรีอยุธยา (พ.ศ. 1893 – 2310) เป็นช่วงที่มวยไทยเฟื่องฟูมากขึ้น โดยเฉพาะในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2147 – 2233) ที่พระองค์ทรงส่งเสริม มวยไทย ให้เป็นกีฬาประจำชาติ มีการสร้างสังเวียนมวย และกำหนดกติกาการแข่งขัน เช่นการใช้เชือกพันมือ หรือที่เรียกกันว่า มวยคาดเชือก เพื่อป้องกันบาดแผล นอกจากนี้ยังมีบันทึกว่าพระเจ้าเสือ ในสมัยอยุธยาเคยปลอมพระองค์มาชกมวยกับ ชาวบ้านและชนะคู่ต่อสู้หลายคน แสดงถึงความชำนาญ และความสำคัญของมวยไทยในสังคม

ในสมัยรัตนโกสินทร์ มวยไทย ได้รับการพัฒนาเป็นกีฬาอย่างเป็นทางการ มีการใช้นวม เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ และมีเวทีมวยถาวร เช่นสนามมวยราชดำเนินและลุมพินี ที่ช่วยยกระดับมาตรฐานการแข่งขันจนมวยไทยกลายเป็นที่รู้จักในระดับสากล

มวยไทย ไม่เพียงแต่เป็นการต่อสู้เพื่อป้องกันตัว แต่ยังเป็นศิลปะที่ผสมผสานระหว่างความงดงามของลีลาการเคลื่อนไหวและความแข็งแกร่งดุดัน มีหลากหลายสายมวยตามภูมิภาค เช่นมวยท่าเสา (ภาคเหนือ), มวยโคราช (ภาคอีสาน), มวยไชยา (ภาคใต้) และมวยลพบุรี (ภาคกลาง) ซึ่งแต่ละสายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างลึกซึ้ง ด้วยประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและคุณค่าทางวัฒนธรรม มวยไทยจึงเป็นทั้งมรดกภูมิปัญญาและสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของคนไทย ที่ยังคงได้รับการสืบทอดและพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

เครื่องแต่งกายมวยไทยในแต่ละยุค

1. ยุคสมัยสุโขทัย จุดเริ่มต้นของศิลปะการต่อสู้ประจำชาติ

ในสมัยสุโขทัย มวยไทยยังคงมีลักษณะใกล้เคียง กับการฝึกทหารมากกว่าการแข่งขันเชิงกีฬา เครื่องแต่งกายของนักมวยไม่ได้มีรูปแบบเฉพาะเจาะจงมากนัก เน้นความคล่องตัวและเหมาะสมกับการใช้งานจริงในสนามรบ

  • นักมวยไทยในยุคสุโขทัยมักนุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอและห้อยชายไว้ด้านหลัง

  • สวมเสื้อคอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดข้อมือ หรือเสื้อแขนกว้างและสั้นถึงข้อศอก

  • ในงานพิธีนิยมสวมเสื้อยาวถึงเข่า ติดกระดุมด้านหน้า 8-10 เม็ด

  • ขุนนางสวมลอมพอกยอดแหลม และในงานพิธีอาจสวมรองเท้าแตะปลายแหลมแบบแขกมัว

2. ยุคสมัยกรุงศรีอยุธยา ยุครุ่งเรืองของมวยคาดเชือก

อยุธยาเป็นยุคที่มวยไทย ได้รับการพัฒนาและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น มีการจัดการแข่งขันเป็นกิจกรรมราชสำนัก และเกิดตำนานนักมวยไทยชื่อดังเช่น พระยาพิชัยดาบหัก

  • นักมวยนิยม นุ่งโจงกระเบนหรือ นุ่งสนับเพลาสำหรับชนชั้นสูง

  • สวมเสื้อคอกลมแขนยาวเกือบถึงศอก มีผ้าห่มคล้องคอแล้วตลบชายไปข้างหลัง

  • นักมวยจะพันมือด้วยด้ายดิบชุบแป้งหรือน้ำมันดินจนแข็ง เรียกว่า มวยคาดเชือก เพื่อป้องกันมือขณะชก

  • นิยมสวมมงคลที่ศีรษะ และประเจียดผูกต้นแขน เป็นเครื่องรางเพื่อความเป็นสิริมงคลและป้องกันภัย

  • การเปรียบคู่ชกใช้ความสมัครใจ ไม่กำหนดขนาดร่างกายหรืออายุ กติกาคือชกจนกว่าฝ่ายหนึ่งจะยอมแพ้

  • สำหรับหญิงและชนชั้นสูง มีการเกล้าผมทรงมวยกลางศีรษะ สวมเครื่องประดับ เช่นเทริด กำไลข้อมือ สร้อยตัวเฉียงบ่า และนิยมทาขมิ้น ผัดหน้าขาว ย้อมฟันดำ

3.ยุคสมัยรัตนโกสินทร์ สู่ความเป็นสากล

มวยไทย เข้าสู่ยุคปรับตัวสู่การแข่งขันแบบสากล มีการกำหนดกติกาชัดเจนมากขึ้น และแยกจากมวยโบราณอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงต้นรัชกาลที่ 5 ถึงปัจจุบัน

  • นักมวยในยุคต้นรัตนโกสินทร์นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อราชประแตน หรือเสื้อคอกลมแขนยาว

  • ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงตามแบบสากลมากขึ้น โดยเฉพาะในรัชกาลที่ 5 เริ่มสวมเสื้อราชปะแตน กางเกงขาสั้น และหมวกแบบตะวันตก

  • นักมวยในเวทีแข่งขันสวมกางเกงขาสั้นสีประจำมุม สวมมงคล ที่ศีรษะ และประเจียด ที่ต้นแขนเป็นสัญลักษณ์

  • มีการใช้นวมแทนการพันมือด้วยเชือกเพื่อความปลอดภัย

  • สตรีรัตนโกสินทร์ต้นนิยมไว้ผมปีก นุ่งโจงกระเบน ห่มสไบเฉียงหรือผ้าแถบ สวมกำไลข้อเท้าเป็นสัญลักษณ์หญิงโสด

เครื่องแต่งกายมวยไทยในแต่ละยุค ไม่เพียงแต่สะท้อนความงาม และเอกลักษณ์ของแต่ละสมัย แต่ยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อและพิธีกรรม เช่นมงคลและประเจียดที่ใช้เพื่อ ความเป็นสิริมงคลและป้องกันภัย เครื่องแต่งกายเหล่านี้ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมมวยไทย ที่ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

เอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของมวยไทยในแต่ละยุค

1. สมัยสุโขทัยมวยไทยเพื่อการป้องกันแผ่นดิน

ในยุคแรกเริ่มของอาณาจักรสุโขทัย มวยไทยยังไม่ถูกเรียกในนามปัจจุบัน แต่มีลักษณะของศิลปะการต่อสู้ที่ใช้ในสงครามและฝึกฝนในหมู่ทหารและชนชั้นนักรบ

  • จุดเด่นทางวัฒนธรรม:

    • เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกทหาร เช่นเดียวกับการยิงธนู ขี่ม้า หรือดาบ

    • ผูกโยงกับวัดและจารีตของชายไทย ที่ต้องฝึกกายเพื่อเตรียมพร้อมรับใช้ชาติ

    • ยังไม่มีการแสดงไหว้ครูอย่างชัดเจน แต่มี พิธีกรรมทางศาสนา ก่อนการฝึกและการรบ

  • อัตลักษณ์วัฒนธรรม:

    • มวยเป็น "หน้าที่" มากกว่า "การแข่งขัน"

    • มุ่งเน้นความแข็งแกร่งและความจงรักภักดี

2. สมัยกรุงศรีอยุธยามวยไทยกับตำนานนักรบ

อยุธยาเป็นยุคทองของมวยไทยในฐานะการต่อสู้ที่ได้รับความนิยมและมีการยอมรับจากราชสำนัก เกิดนักมวยในตำนาน เช่น พระยาพิชัยดาบหัก และเริ่มมีการจัดการแข่งขันมวยในงานรัฐพิธี

  • จุดเด่นทางวัฒนธรรม:

    • เริ่มเห็นรูปแบบ มวยคาดเชือก และ พิธีไหว้ครู ก่อนการชก

    • มวยถูกผูกกับความเป็นชาย ความกล้าหาญ และเกียรติยศ

    • การแข่งขันมวยในราชสำนักแสดงถึง สถานะและฝีมือของนักรบ

  • อัตลักษณ์วัฒนธรรม:

    • มวยไทยคือสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ

    • พิธีกรรมก่อนขึ้นชก เช่น จุดธูปไหว้ครู หรือรำมวย เป็นการเคารพครูบาอาจารย์

    • ใช้ดนตรีพื้นเมืองประกอบ เช่น ปี่ กลอง และฉิ่ง เสริมบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์

3. สมัยรัตนโกสินทร์มวยไทยสู่เวทีโลก

ในยุครัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะช่วงรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา มวยไทย เข้าสู่เวทีการแข่งขันแบบสากล มีการจัดระเบียบ กติกา และการเปลี่ยนแปลงเครื่องแต่งกาย แต่วัฒนธรรมแบบดั้งเดิมยังคงอยู่

  • จุดเด่นทางวัฒนธรรม:

    • ยังคงรักษาพิธีไหว้ครู รำมวย และการคาดมงคล

    • เพิ่มความศักดิ์สิทธิ์ด้วย บทสวดมนต์และการครอบครู

    • การสอนมวยไทยในค่ายมวย หรือโรงเรียนมวยกลายเป็นระบบฝึกฝนแบบมืออาชีพ

  • อัตลักษณ์วัฒนธรรม:

    • มวยไทยถูกยกระดับเป็น มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ

    • ใช้ในพิธีต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง เช่นการแสดงโชว์มวยไทย

    • มีอิทธิพลต่อศิลปะการต่อสู้สากล เช่น MMA และคิกบ็อกซิ่ง


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ต้นกำเนิดและประวัติศาสตร์มวยไทย


  • มวยไทยมีต้นกำเนิดจริงๆ จากที่ใด?


ต้นกำเนิดของมวยไทยสามารถย้อนไปถึงยุคหริภุญชัย (ราว พ.ศ. 1200) โดยมีวิชามัยศาสตร์ที่รวมศิลปะการต่อสู้เพื่อการสงคราม ซึ่งเป็นรากฐานของมวยไทยในปัจจุบัน


  • มวยไทยแตกต่างจากมวยสากลอย่างไร?


มวยไทยใช้อาวุธจากร่างกายทั้ง 8 ส่วน ได้แก่ หมัด เท้า เข่า ศอก (เรียกว่า “นวอาวุธ”) ขณะที่มวยสากลใช้เพียงหมัด 2 ข้างเท่านั้น นอกจากนี้ มวยไทยยังมีพิธีกรรมเช่น ไหว้ครู และการรำมวยก่อนแข่งขัน


  • ทำไมมวยไทยถึงเรียกว่า “นวอาวุธ”?


คำว่า นว แปลว่า 9 หรือในที่นี้สื่อถึงองค์ประกอบ 8 อย่างของร่างกายที่ใช้เป็นอาวุธ คือ หมัด 2 ข้าง, เท้า 2 ข้าง, เข่า 2 ข้าง และศอก 2 ข้าง ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของมวยไทย


  • มวยคาดเชือกคืออะไร?


มวยคาดเชือก เป็นรูปแบบการต่อสู้ในสมัยอยุธยา นักมวยจะพันมือด้วยเชือกหรือ ด้ายดิบชุบแป้งหรือยางไม้เพื่อเพิ่มความแข็งแรง และใช้แทนนวม


  • เครื่องแต่งกายของนักมวยไทยในอดีตแตกต่างจากปัจจุบันอย่างไร?


สมัยก่อนนักมวยมักนุ่งโจงกระเบน และสวมเสื้อแขนยาว มีมงคลบนศีรษะและประเจียดผูกต้นแขน ส่วนในปัจจุบัน นักมวยสวมกางเกงขาสั้น มีสีประจำมุม และใช้นวมมาตรฐานในการแข่งขัน


  • พิธีไหว้ครูมีความสำคัญอย่างไรในมวยไทย?


พิธีไหว้ครูเป็นการแสดงความเคารพ ต่อครูบาอาจารย์และวิชาที่ได้รับถ่ายทอดมา เป็นทั้งการขอพรและเพิ่มขวัญกำลังใจก่อนการแข่งขัน


  • มวยไทยได้รับการยอมรับในระดับโลกหรือไม่?


ได้รับอย่างกว้างขวาง ปัจจุบันมีโรงเรียนสอนมวยไทยในหลายประเทศ และถูกบรรจุเป็นหนึ่งในศิลปะการต่อสู้หลักของกีฬาต่อสู้ผสม (MMA)


  • มวยไทยเป็นมรดกโลกหรือไม่?


ในปี พ.ศ. 2564 มวยไทย ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกภูมิปัญญา ทางวัฒนธรรมของชาติจาก UNESCO ซึ่งตอกย้ำความสำคัญของศิลปะการต่อสู้นี้ในระดับสากล



อ่านบทความเกี่ยวกับ พัฒนาการของมวยไทยในเวทีสากล <<<คลิกที่นี่





Comments

Popular posts from this blog

ไหว้ครูมวยไทยมีที่มาอย่างไร?

พัฒนาการของมวยไทยในเวทีสากล